
ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดห่างออกไปจากผาพยับเมฆราวร้อยกิโลเมตรได้ เวลาบ่ายแก่ๆ บริเวณโถงกว้างที่จัดไว้สำหรับผู้ป่วยและญาติที่มารอรับยาก่อนกลับบ้านหนาแน่นไปด้วยผู้คน คิวรับยาถูกเรียกทีละคิวอย่างห่างๆ ตัวเลขที่ห่างจากคิวในมือเรียวถึงยี่สิบกว่า
“อะไรกัน พาคนป่วยออกจากบ้านมาตั้งแต่ตีห้า ได้พบหมอจริงๆ เกือบเที่ยง จนป่านนี้ยังไม่ได้รับยา” หญิงสาวผู้ยืนรอจนเมื่อยไปหมดบ่นอุบ ดีหน่อยที่หาที่นั่งให้พ่อได้ ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นลมไปแล้ว คิ้วโค้งเรียวปานวาดไว้ขมวดมุ่นเป็นรอบที่ร้อย สองมือกอดอกมั่น กระเป๋าถือแบบครอสบอดีแบรนด์ดังแบบเรียบสวยใบเล็กคล้องอยู่ที่ไหล่บาง หล่อนยืนตรงนี้มาร่วมสองชั่วโมงแล้ว พ่อผู้ป่วยเป็นมะเร็งหลับคอพับคออ่อนไปสองสามรอบ ครั้นหล่อนจะไปหาซื้ออะไรมาให้ประทังความหิว พ่อก็ห่วงว่าจะเลยคิวรับยาไป ยังดีที่มีน้ำกับนมติดมากระป๋องหนึ่ง
แย่จริง นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย
อินถวาถามตัวเองอีกครั้ง ถ้าทำได้หล่อนอยากพาพ่อเข้ากรุงเทพฯ ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็แต่หล่อนไม่ใช่ผู้ตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับพ่อทั้งสิ้น เป็นเพียงลูกสาวจากเมียเก่าที่แม่กับยายส่งมาดูแลพ่อที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเท่านั้น
เหตุนี้หล่อนจึงทำอะไรมากไม่ได้ อะไรๆ ก็ต้องแล้วแต่พี่สาวที่เป็นลูกติดของเมียใหม่พ่อที่เพิ่งเสียไปไม่นาน อังสนาบอกว่าพ่อมีสิทธิ์รักษาของข้าราชการเกษียณไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเสียทองที่อื่นอีก อีกอย่างลูกหลานของพ่อก็อยู่ที่ดงขมิ้นนี่ พ่อบอกว่าไม่อยากไปตายที่อื่น แม่ที่ไม่อินังขังขอบกับพ่อมานานแล้วก็ไม่ติงอันใด บอกแต่ว่าให้หล่อนมาทำหน้าที่ลูกสาวเสียจะได้ไม่เสียใจภายหลัง
ประจวบกับที่อินถวายังไม่มีงานมีการทำเป็นกิจจะลักษณะ มีเพียงร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่เปิดอยู่กรุงเทพฯ ทำกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ทุกคนจึงเห็นว่าถึงหล่อนมาดูแลพ่อก็ไม่เสียหายอะไร
เอาเถอะ หล่อนไม่ชอบขัดใจใครเท่าไรนักหรอก โดยเฉพาะแม่กับยายที่เลี้ยงหล่อนมาราวกับไข่ในหิน เมื่อทั้งสองเห็นว่าพ่อต้องการหล่อนในยามนี้ อินถวาก็ทำให้ท่านได้
“คุณเปรม ไตรรัตน์ เชิญรับยาค่ะ” เภสัชกรที่ช่องด้านหน้าดึงกระจกเปิดออก แล้วเรียกชื่อ อินถวาเดินไปรับยาถุงใหญ่ที่มีกลิ่นฉุนโชยออกมาถือไว้ หันมามองพ่อที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ปะปนกับคนป่วยคนอื่นๆ อีกร่วมร้อย เห็นใบหน้าซีดเซียวนั้นแล้วก็สงสาร
“ไปหาอะไรกินกันก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยกลับ”
“กลับเลยก็ได้ลูก เดี๋ยวพี่กับหลานๆ เขาจะรอ กว่าจะถึงบ้านก็ห้าหกโมงเย็น”
“กินข้าวก่อนเถอะค่ะพ่อ” หล่อนเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าสวยเริ่มตึงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ผู้เป็นพ่อตั้งท่าจะขัดแต่ไม่ทันเสียแล้ว อินถวาเดินตัวปลิวนำเข้าไปในร้านอาหารท่าทางนั่งสบายพอใช้ในโรงพยาบาลศูนย์นั่นเอง หล่อนสั่งอาหารหน้าตาสะอาดใช้ได้ให้พ่อกับตัวเองคนละจาน แล้วก็นั่งกินกันเงียบๆ เพราะต่างคนต่างหิวและเหนื่อยล้ามาก
เมื่ออินถวายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม พลางเงยหน้าขึ้นมองออกไปผ่านกระจกร้าน หล่อนก็เห็นรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อติดตราอุทยานแห่งชาติผาพยับเมฆวิ่งพรวดเข้ามาจอดที่บริเวณรับคนไข้ฉุกเฉิน ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนคุมตัวชายหนุ่มรูปร่างผอมบางกว่าลากลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล
“มะ ไม่ ไม่เอาๆ ไม่เอาแล้ว อย่า อย่าตามมา”
เสียงชายคนนั้นร้องลั่นโรงพยาบาล ผู้คนบ้างรุมดู บ้างชะเง้อมองดูด้วยความสนใจ เมื่อยื้อยุดกันอยู่นานคนขับรูปร่างสูงใหญ่กว่าที่สวมหมวกปิดใบหน้าเสียครึ่ง ก็เปิดประตูกระโดดลงมาจากหน้ารถ ความสูงใหญ่ทำให้เขาโดดเด่น ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบลายพรางเต็มยศแต่เสื้อเปิดกระดุมอกไว้สามสี่เม็ด ดูเหมือนเจ้าตัวจะรีบร้อนจนไม่มีเวลาแต่งกายให้เรียบร้อย ใบหน้าคมคร้ามดุดัน เสียงปิดประตูดังปัง ก่อนที่เขาจะเดินมายืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มที่กำลังคลุ้มคลั่ง ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตนเอง ทั้งเตะต่อยคนที่คุมตัวเขาไว้อย่างบ้าคลั่ง
“ปล่อยกู ปล่อย!”
“มึงกลับไปได้แล้ว!” เสียงตะคอกนั่นทำเอาคนที่ดิ้นพล่านเข่าอ่อน ทรุดลงพนมมือวอนขอ
“หัวหน้าครับ หัวหน้า ผมมาขออยู่ด้วย ผมทุกข์ทรมานเหลือเกิน”
“ไม่ได้ มึงไปให้พ้น เดี๋ยวนี้เลย!” เสียงก้องกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง เรียกให้ผู้ป่วย ญาติ และแพทย์พยาบาลหันมองเป็นตาเดียวกัน แต่ชายผู้ถูกเรียกว่า ‘หัวหน้า’ หาได้สะทกสะท้านไม่ ดวงตาคมวาววับดูราวกับไม่ใช่ตาของคนจ้องมองชายหนุ่มผู้ประนมมือไหว้ตัวสั่น
“มึงไปซะ”
“ไม่ไป กูไม่ไป ฮือๆๆ” เจ้าหนุ่มพลันร้องไห้โฮๆ น่าสังเวชนัก
“ดื้อด้านนัก บอกให้ไป!”
“กูไม่ไป! โอ๊ย”
มือหยาบใหญ่ตบเข้าที่บ้องหูสองข้างของชายผู้น่าสงสารคนนั้น เขาทรุดลงหมดสติท่ามกลางเสียงร้องของคนที่มามุงดู บุรุษพยาบาลยกร่างชายเคราะห์ร้ายขึ้นวางบนเตียงพยาบาลแล้วเข็นเข้าไปห้องฉุกเฉิน ผู้คนที่รุมดูแตกกระเจิงแยกย้ายกันออกไปด้วยความหวาดกลัวชายหนุ่มหน้าดุผู้นั้น
“พ่อดูสิคะ ป่าเถื่อนสิ้นดี นี่เขาตบตีกันอย่างงั้นได้ไง ไม่มีใครห้ามกันเลย แม้แต่ รปภ. นี่มันอะไรกัน”
“ห้ามได้ไงลูก นั่นหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าเชียวนะ”
“อะไรนะคะ นี่เหรอพฤติกรรมคนเป็นถึงหัวหน้า”
“พ่อหนุ่มนั่นท่าทางจะผีเข้า คลุ้มคลั่งน่าดู หัวหน้าก็คงต้องปราบไว้ก่อน”
“พิทักษ์ป่าปราบผีเหรอคะ”
“ทำได้ทั้งนั้นละลูก” คนเป็นพ่อยิ้มอ่อน “พ่อเองก็เคยเป็นพิทักษ์ป่า งานอันตรายมันต้องเข้มแข็งหน่อยสิลูก”
“แต่นี่มันเกินไปหรือเปล่าคะพ่อ ทำร้ายคนป่วยในโรง’บาล ป่าเถื่อนสิ้นดี” อินถวาจ้องมองร่างสูงที่กำลังจะกลับขึ้นรถ เขาลูบหน้า มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวเหลียวมองไปรอบๆ จนผู้คนแตกกระเจิงไป สายตาเขามาหยุดอยู่ที่ดวงตากลมโตวาววามที่จ้องมองเขาทะลุกระจกห้องอาหารออกมา สายตาตำหนิพฤติกรรมของเขาเด่นชัดจนรู้สึกได้ รุกข์จึงเลิกคิ้วเข้มขึ้นมองตอบแล้วกลับไหวไหล่เบาๆ อย่างไม่ยี่หระ กระโดดขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นครั้งแรกที่อินถวาได้พบกับรุกข์ พนมไพร
----------
ตกเย็นรถมินิคูเปอร์สีครีมอ่อนคันจิ๋วของอินถวาก็พาเจ้าตัวกับพ่อกลับมาถึงบ้านไม้อายุกว่าสามสิบปีที่กลางหมู่บ้าน อังสนา...พี่สาวต่างแม่วัยแก่กว่าอินถวาสี่ปีกว่ารออยู่แล้วด้วยใบหน้ามึนตึง ลูกสาวคนโตของพ่อเปรมมีเค้าหน้าคมคายไม่น้อย หากเจ้าเนื้อตามวัยด้วยนิสัยที่ละเลยการดูแลตัวเองเป็นบางครั้ง หล่อนมักจะคิดว่าตนเป็นข้าราชการประจำอำเภอที่มีงานท่วมหูท่วมหัว ไฉนเลยจะมีเวลากรีดกรายสวยงามขับรถราคาเป็นล้านร่อนไปร่อนมาให้ชาวบ้านเขาลืออย่างลูกสาวคนเล็กของพ่อได้ล่ะ
อังสนาไม่รู้เรื่องของบ้านอินถวามากนัก รู้แต่ว่าแม่ของอินถวาเป็นคนชาติตระกูลดี มีมรดกตกทอดมากมาย ทั้งสวยทั้งรวยพอที่พ่อของหล่อนจะทิ้งเมียนอกสมรสกับลูกสาวตัวเล็กๆ กลับไปอยู่กับทางนั้นได้สบาย แต่ก็แปลกที่พ่อเลี้ยงของหล่อนเลือกอยู่ดงขมิ้นกับแม่และลูกติดอย่างหล่อน
พ่อเปรมในตอนนั้นเป็นพิทักษ์ป่าหนุ่มไฟแรงเข้ามาประจำการรุ่นแรกของอุทยานแห่งชาติผาพยับเมฆ เขามีหน้าที่การงานก้าวหน้าระดับนายช่างของอุทยานฯ ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาเอาการ เปรมบอกทุกคนว่าเขาแต่งงานแล้วและมีภรรยาและลูกน้อยอยู่เมืองกรุง แต่ทั้งสองไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่ผาพยับเมฆด้วย แต่ทว่าไม่รู้อย่างไรอยู่ไปอยู่มาพ่อเปรมกลับมาคบแม่ของอังสนาซึ่งเป็นแม่หม้ายลูกติด ตอนนั้นอังสนาพอจำความได้ แม่มีปากเสียงกับพ่อเลี้ยงของหล่อนเรื่องที่เมียหลวงของพ่อมาที่ดงขมิ้นแล้วจับได้ว่าพ่อเลี้ยงดูแม่หม้ายลูกติดไว้ที่นี่ แม้แม่ของอังสนาเป็นผู้หญิงบ้านนอกที่หน้าตาดีกว่าใคร แต่ก็ยังไม่ได้เสี้ยวความงามของคุณกันยารัตน์เมียหลวง แม่จึงยอมขอเป็นน้อย แต่เรื่องกลับจบลงที่เมียหลวงเป็นฝ่ายล่าถอยไปง่ายๆ มีแต่พ่อเลี้ยงของหล่อนที่คอยติดตามถามข่าวฝ่ายนั้นเสมอ บางครั้งยังไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมลูกสาวคนเล็กและยังส่งเสียเงินทองให้ไม่ขาดแม้อีกฝ่ายจะไม่เคยเรียกร้องใดๆ เลยก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละแม่ของอังสนาก็ตายจากไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแต่พ่อเลี้ยงที่เป็นภาระให้ต้องดูแล พ่อเปรมที่เป็นข้าราชการเกษียณที่ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรมากไปกว่าที่ดินแค่หยิบมือเดียวกับบ้านไม้เก่าแก่หลังนี้ อังสนาเองก็ขวนขวายเรียนจนจบปริญญาได้มาเป็นข้าราชการในอำเภอ แต่งงานกับตำรวจนายหนึ่ง มีพยานรักด้วยกันถึงสองคนแล้วอย่างนี้เรื่องอะไรอังสนาจะต้องมาเสียเวลาหาความก้าวหน้าในชีวิตมาดูแลพ่อเลี้ยงคนเดียวเล่า ให้แม่ลูกสาวคนเล็กที่เป็นลูกในไส้แท้ๆ ที่ทั้งสวยทั้งรวยมาช่วยดูแลด้วยจะเป็นไรไป
“ทำไมนานนักล่ะจ๊ะพ่อ อังทำกับข้าวไว้รอเยอะแยะ หลานๆ ก็หิ้วท้องรอจะกินข้าวกับตา พี่ชาติรอถามอาการพ่ออยู่นานจนไปเข้าเวรแล้ว”
“เอ่อ...”
“เรากินกันมาแล้วละค่ะ ไปรออยู่โรงพยาบาลทั้งวัน ไม่ไหว” อินถวาตอบแทนพ่อ หล่อนไม่ชอบอาการหงอให้ลูกสาวคนโตแบบที่พ่อเป็นอยู่นี้เลย ก่อนมาดงขมิ้นหล่อนยังเข้าใจว่าพ่อเป็นเสาหลักของบ้านนี้ เมียและลูกเลี้ยงจะต้องเกรงใจพ่อมากเพราะพ่อให้ทุกอย่างแก่ทั้งคู่ แต่เมื่อพ่อเจ็บป่วยแบบนี้ อินถวาจึงได้เห็นกับตาว่าพ่ออยู่ที่นี่อย่างพึ่งพาลูกเลี้ยงและครอบครัว
“น่าจะโทร.มาบอกกันบ้าง นี่รอกันเป็นชั่วโมง”
“เอาน่า มีอะไรกินบ้าง ไปเรียกหลานมาสิ ไปอิน ไปเรียกหลานๆ มาหน่อย” พ่อตัดบทง่ายๆ แล้วเดินนำไปที่โต๊ะกินข้าวที่จัดไว้ตรงระเบียงโล่งข้างครัว อินถวาหมุนตัวกลับ ไม่อยากขัดใจพ่อเพราะรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินสำหรับวันนี้
หล่อนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวดังออกมา อินถวามองสภาพห้องโถงกลางบ้านที่หล่อนจัดไว้เรียบร้อยก่อนไปโรงพยาบาลถูกรื้อค้น ข้าวของกระจัดกระจายไม่เหลือดี สองพี่น้องชายหญิงกำลังฟัดกันนัวเนีย ขนมนมเนยที่กินกันค้างอยู่หกเลอะเทอะ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันเพิ่มเป็นทบทวี
“เอ๋ อาร์ม ทำไมทำห้องเลอะเทอะแบบนี้ น้าเก็บไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อเช้า” หล่อนถาม ฝืนเก็บอารมณ์ไว้แทบไม่มิด
“ก็เล่นกัน แม่บอกว่าทำการบ้านเสร็จให้เล่นกันได้” เด็กชายผู้เป็นพี่เชิดหน้าตอบ
“แล้วทำไมไม่ไปเล่นกันที่สวน”
“ก็จะดูทีวีด้วยไง” เด็กหญิงเอ๋ผู้เป็นน้องเสริม
“ใช่ กินหนมด้วย แม่บอกทำการบ้านแล้วกินหนมได้ ดูทีวีได้” อาร์ม เด็กชายวัยแปดขวบลอยหน้าลอยตาตอบมาอีก
“เก็บให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” อินถวายกสองมือขึ้นกอดอก เพราะกลัวจะรั้งมือไม่ให้หวดก้นเล็กๆ ของลิงทโมนทั้งสองไม่ไหว
“มีอะไรกัน” เสียงแหลมแหบๆ ของอังสนาดังมาจากด้านหลัง อินถวาหันกลับไปมอง
“เอ๋กับอาร์มทำห้องรับแขกเลอะเทอะ อินให้ช่วยกันเก็บค่ะ”
“นี่เวลากินข้าว จะให้เด็กมันทำอะไรอีก ไป ไปกินข้าวกันลูก ใครไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ห้องนี่ใครไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวแม่มาทำเอง” เสียงแว้ดๆ นั้นทำให้อินถวาต้องหลับตาระงับอารมณ์ก่อนจะเดินเลี้ยวไปยังห้องด้านหลังของบ้าน ห้องติดสวนเล็กๆ เป็นสัดส่วนที่พ่อต่อเติมไว้ให้เมื่อรู้ว่าหล่อนจะมาอยู่ด้วย หล่อนโชคดีอยู่หน่อยที่แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูกันมาพ่อก็พอรู้ว่าหล่อนแตกต่างจากที่นี่มากเพียงใด จึงได้พยายามอำนวยความสะดวกให้หล่อนมากที่สุด เหมือนพ่อจะมีความรู้สึกผิดปะปนอยู่ในนั้นด้วย
แต่อินถวาไม่รู้ว่าตนเองจะทนอยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **