“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอปลาย”
แดนไทถามทันทีที่ปลายฝนลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย หญิงสาวในชุดเดรสลายดอกไม้ตกใจกับการทักทายแบบไม่ทันตั้งตัว
“วันหยุดของปลายค่ะ ที่บอกพี่ไว้แล้วเมื่อวานไงคะ มีอะไรหรือเปล่า”
“มีสิ ไปเปลี่ยนชุดให้มันดูคล่องตัวกว่านี้ แล้วออกไปดูไร่เผือกกับพี่”
“ไม่เอา!”
ปลายฝนสวนออกไปทันควัน ความจริงเธอไม่ได้รังเกียจการทำไร่ทำสวน แต่ไม่ชอบความเผด็จการของเจ้าของไร่หนุ่ม เขาควรถามสักคำว่าเธอมีธุระอื่นต้องทำหรือเปล่า นี่คงเผลอคิดว่าเป็นเจ้าชีวิตเธอไปแล้ว ทั้งที่ความจริงก็แค่เพื่อนพี่ชาย
“ไม่ได้! ต้องไป ปลายมาพักบ้านคนอื่น ไม่คิดจะทำอะไรตอบแทนบ้างเหรอ”
คำพูดออกแนวทวงบุญคุณนั้นทำเอาปลายฝนถึงกับอึ้ง นอกจากผิวแล้ว ใจเขายังดำด้วยสินะ
“คิดผิดจริงๆ เลยที่มาพักบ้านพี่แดน ปลายบอกพี่พงษ์แล้วนะว่ากลัวประเด็นนี้แหละ กลัวโดนทวงบุญคุณ แล้วก็จริงซะด้วย แค่ไม่กี่วันปลายโดนทวงแล้ว ชิ!”
ปลายฝนขมวดคิ้ว ไม่อยากเชื่อว่าแดนไทจะนิสัยแบบนี้ แต่ก่อนเขาใจดีเป็นที่สุด ตามใจเธอทุกอย่าง เอาอกเอาใจเก่งอีกต่างหาก คนเราพอเติบโตขึ้นมันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ ดูนัยน์ตาคมแสนดุนั่นเถอะ ไม่เหลือเค้าพี่แดนคนดีคนเดิมเลยสักนิด
“ไปเปลี่ยนชุดสิ ยังยืนเฉยอยู่อีก พี่บอกให้ทำอะไรก็ตามนั้น” เขายังย้ำคำสั่ง นั่นยิ่งทำให้ปลายฝนปักหลักยืนนิ่ง เชิดหน้าขึ้นแล้วว่า
“แต่วันนี้ปลายอยากพักผ่อน วันหยุดทั้งที อีกอย่างปลายมีธุระเรื่องธนาคารในตัวจังหวัดด้วย” เธออ้างไปส่งๆ
“กลับจากไปไร่ค่อยไปก็ยังทัน พี่ไม่ได้ให้ทำอะไรมากหรอกน่า แค่อยากให้ไปสัมผัสไว้บ้าง”
ความจริงนั่นคือสิ่งที่ปลายฝนเคยคิดไว้เหมือนกัน เธออยากสัมผัสธรรมชาติ ได้รู้ความเป็นอยู่ของคนในไร่ ได้เห็นว่าการทำเกษตรนั้นยากเย็นและน่าสนใจแค่ไหน แต่พอมาโดนบังคับแบบนี้ เธอขอฝืนไว้ก่อน เรื่องอะไรจะยอมง่ายๆ
“เอาไว้วันหลังละกัน วันนี้ปลายตั้งใจไว้ตั้งแต่ตื่นนอนแล้วว่าจะเข้าเมือง อีกอย่าง ปลายขี้เกียจเปลี่ยนชุดด้วย”
“งั้นให้พี่เปลี่ยนให้ไหม บอกเลยนะ ว่ายังไงวันนี้ปลายก็ต้องไปไร่กับพี่”
พอแดนไททำเสียงแข็ง ออกแนวเถื่อนๆ ขึ้นมา ปลายฝนก็แพ้เขาอีกตามเคย หญิงสาวเดินกระแทกเท้าขึ้นบันได กลับไปที่ห้องของตนแล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนเก่าๆ กลับลงมาเห็นแดนไทยังปักหลักยืนรออยู่ที่ตีนบันไดจุดเดิม เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าในที่สุดก็เอาชนะเธอได้
“เก่งมาก ไม่ดื้อกับพี่นะ ดูสิ แต่งตัวแบบนี้น่ารักกว่านุ่งกระโปรงตั้งเยอะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง” ปลายฝนรำพึงเบาแสนเบาแต่อีกฝ่ายกลับได้ยิน เขาหัวเราะในลำคอแล้วว่า
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก แต่เห็นแล้วมันอยากปฏิวัติน่ะ ‘น้องปลาย’ แสนซนของพี่ต้องไม่เปลี่ยนไปเยอะนักสิ”
“แล้วคิดว่าตัวเองเปลี่ยนน้อยนักหรือไง จะกลายเป็นคนละคนกับตอนเด็กแล้วเนี่ย” ปลายฝนสวนทันควัน
“แต่พี่ว่าพี่ไม่เปลี่ยนนะ ปลายรอพิสูจน์เองละกัน”
เกลียดนัก! ไม่รู้หรือไงว่าแววตาล้อๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่นนั้นปลายฝนแพ้ทาง...แพ้เอามากๆ
----------
ไร่เผือกน่าสนใจกว่าที่คิดไว้เป็นร้อยๆ เท่า
แม้จะอยู่ในภาวะหงุดหงิดขั้นสุดที่โดนบังคับ แต่ปลายฝนยังอดรู้สึกตื่นเต้นและสนุกไปกับการเรียนรู้ไม่ได้
สารภาพเลยว่าเธอไม่เคยรู้หรอกว่าต้นเผือกรูปร่างเป็นอย่างไร พอได้เห็นครั้งแรกจึงถึงกับตกตะลึงทีเดียว
“อ้าว! ปลายนึกว่าต้นใหญ่กว่านี้ซะอีก”
“วาดภาพว่าต้นเผือกจะโตแบบต้นมะม่วงหรือไง อย่าลืมว่าเขาเป็นพืชกินหัว ต้นแค่นี้ก็ถือว่าใหญ่แล้ว เห็นใบสวยๆ นั่นไหม คล้ายใบบอนไหมล่ะ”
“แต่ปลายไม่เคยเห็นใบบอน” ปลายฝนพูดความจริง ที่ผ่านมาเธอห่างไกลกับเรื่องต้นไม้ใบหญ้าเอามากๆ
“ให้มันได้แบบนี้สิ สมควรแล้วที่ให้มาอยู่ไร่นี่สักระยะ ถือเสียว่าสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตไง เป็นพยาบาลก็ไม่ควรรู้แต่เรื่องในโรงพยาบาลนะ”
“แล้วพี่แดนล่ะ ไม่ใช่รู้ดีแต่เรื่องในไร่เหรอ ถ้าให้ไปช่วยงานที่โรง’บาลก็คงงงไปเหมือนกันแหละ ทำเป็นว่าคนอื่น”
“อืม ใช่ อันนี้ไม่เถียง เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้ดีไปกว่าปลายเท่าไรหรอก แต่แค่อยากให้ปลายเรียนรู้โน่นนี่ไปหลายๆ ด้าน จะได้ไม่เบื่อด้วย”
ทำไมปลายฝนจะไม่รู้ พอมานึกดู เธอเดาว่าแดนไทคงกำลังพยายามทำให้เธอวุ่นไปวันๆ ไม่เรื่องงานในโรงพยาบาลก็เรื่องอื่นๆ เขาหาเรื่องให้เธอไม่มีเวลาว่างที่จะไปคิดวนแต่เรื่องความผิดพลาดในการเลือกผู้ชายมาร่วมชีวิต มันผ่านไปแล้ว และเขาคงอยากให้มันผ่านออกไปจากหัวของเธอเสียที
“ต้นเผือกพวกนี้โตเต็มที่ พร้อมขุดหัวมาขายได้เร็วๆ นี้แหละ พี่อยากให้ปลายเห็นหัวเผือก ผลผลิตที่อยู่ในดินน่ะมหัศจรรย์มาก ตอนที่เห็นมัน เราจะภูมิใจมากที่อุตส่าห์ประคบประหงมมาตั้งแต่เป็นหน่ออ่อน เอาจริงถึงพี่จะทำไร่หลายชนิด แต่ที่พี่ถนัดที่สุดคือไร่เผือกนี่แหละ เพราะทำกันมานานตั้งแต่สมัยทวด”
อ้อ! สมแล้วแหละที่ถนัด ‘เผือก’ เรื่องชาวบ้าน ขนาดวันหยุดของเธอ พ่อหนุ่มไร่เผือกยังลากเธอมาเข้าไร่จนได้
ปลายฝนคิดขุ่นเคืองในใจ แต่พอได้ยินน้ำเสียงของหนุ่มไร่เผือกที่ดูภาคภูมิ แววตายังเต็มไปด้วยความสุข เธอจึงฝืนยิ้มให้เขาแล้วคุยโต้ตอบตามมารยาท
“ปลายนึกภาพตอนขุดหัวเผือกขึ้นมาแล้วยังตื่นเต้นเลย เอาไว้ขอตามมาดูตอนขุดด้วยนะคะ”
อ้าว! เผลอแสดงความตื่นเต้นคล้อยตามเขาไปอี๊ก...ปลายฝนตำหนิตัวเองในใจ
“ได้ๆ อีกอันที่น่าสนใจคือการเอาเผือกไปแปรรูปขาย ไร่เราเน้นขายสดก็จริง แต่ผลผลิตเยอะจนบางทีถ้าอยากขายได้ราคาเราต้องหาทางเอาเผือกไปแปรรูป”
“ตอนนี้เอาเผือกไปทำอะไรได้บ้างคะ”
“ส่วนมากก็ทำเผือกฉาบ เผือกทอด แบบบ้านๆ นมเป่งเก่งอยู่แล้ว”
“ก็ดีนะคะ แต่ปลายยังนึกไปถึงโน่นเลย พวกขนมหม้อแกงเผือก หรือชิฟฟอนเค้กหม้อแกงเผือก ที่ปลายเคยกินน่ะอร่อยมาก ถ้าเราดัดแปลงทำให้ทันสมัยขึ้นน่าจะดี แล้วถ้าจะให้สุดคือต้องเปิดร้านกาแฟรองรับผลิตภัณฑ์ของเราด้วยค่ะ”
“พอเลยๆ ฝันไกลเกินเหตุแล้วไหม” แดนไทดับฝันหญิงสาว
“เป็นความฝันส่วนตัวของปลายนี่คะ อยากเปิดร้านกาแฟอะ”
แดนไทไม่โต้ตอบ เขาเดินนำไปตามแนวไร่เผือกที่ปลูกเป็นระเบียบสวยงามเพราะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่เห็นมีหญ้าแซมสักต้น
สองหนุ่มสาวเดินชมไร่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่แรงขึ้นทุกขณะ โชคดีว่าก่อนออกจากบ้านมาปลายฝนตัดสินใจคว้าหมวกปีกกว้างมาด้วย แต่เท่าที่ดู แดนไทเหมือนจะไม่กลัวแดดเอาเสียเลย ไม่ต้องพูดถึงครีมกันแดด แค่หมวกสักใบยังไม่เห็นเขาใส่
“พี่แดนร้อนไหม” เธออดถามไม่ได้
“ไม่เลย แดดแค่นี้ถือว่าเบาะๆ”
“แต่ปลายว่ากันแดดไว้หน่อยก็ดีนะคะ ไม่ใช่เพื่อความหล่อ แต่เพื่อสุขภาพ เพราะมะเร็งผิวหนังเดี๋ยวนี้คนเป็นกันเยอะ”
“อืม” แดนไทตอบรับเบาๆ ดูก็รู้ว่าถ้าไม่มีคนคอยบังคับ เขาคงไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้
“เดี๋ยวปลายจะแบ่งครีมกันแดดให้พี่ใช้ พอดีซื้อสำรองไว้หลอดหนึ่ง”
“ไม่เอ๊า! พี่ไม่ทาหรอก วุ่นวายเปล่าๆ” หนุ่มผิวเข้มตะโกนลั่นราวกับจะโดนถูกจับไปฆ่า
“ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องทา ของมันมีอยู่แล้ว”
“มัดมือชกนี่นา”
“เหมือนพี่แดนไง ยังมัดมือชกปลายมาเข้าไร่ได้เลย”
แดนไทส่ายหน้า หัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนตัดบท
“กลับบ้านกันได้แล้ว ไหนว่าต้องไปทำธุระในเมืองต่อไม่ใช่เหรอ”
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **