ทดลองอ่าน ฝากรักไว้ที่ปลายฝน : ตอนที่ 6

 

 

ตอนที่ 6

 

 

วันนี้ราวกับว่าในห้องฉุกเฉินคือนรกจำลองก็ไม่ปาน

เหตุการณ์ร้ายๆ มาสุมรวมกันอย่างไม่คาดฝันในวันเดียว เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าหลังจากปลายฝนคุยกับพี่แต้วเสร็จ เพียงครู่เดียวคนไข้จากอุบัติเหตุบนถนนห่างจากโรงพยาบาลไม่เกินสิบกิโลเมตร ก็ค่อยๆ ถูกลำเลียงเข้ามา อาจเป็นเพราะคู่กรณีที่ชนประสานงากันเป็นรถบัสกับรถกระบะซึ่งทั้งคู่ต่างมีผู้โดยสารเต็มลำ ทำให้มีผู้บาดเจ็บนับสิบที่ทั้งแพทย์ พยาบาลต้องเข้ามาดูแล และแน่นอนว่ามีแพทย์บางท่านที่ไม่ติดภารกิจอื่นแต่ยินดีเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือนายแพทย์ศรุต ซึ่งแม้ปลายฝนจะเห็นแล้วว่าเป็นเขา แต่ความวุ่นวายในการดูแลผู้ป่วยทำให้เธอไม่ได้ใส่ใจนัก จึงต่างคนต่างทำงานไป

จนกระทั่งบ่ายสองโมงกว่า หลังจากกินอาหารง่ายๆ ที่ถูกจัดมาให้ถึงห้องฉุกเฉินแล้ว ปลายฝนจึงเริ่มงานของเธอต่อ ความตึงเครียดดูจะลดน้อยลง จนกระทั่งมีเสียงจากชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อของผู้ป่วยเด็กที่มาด้วยอาการไอและไข้สูงดังขึ้น

“ได้โปรดเถอะครับ ขอใครสักคนมาดูลูกผมให้หน่อยได้ไหม ลูกนอนรออยู่เป็นชั่วโมงแล้วนะ ไม่มีใครมาดูแลเลย”

แม้คำพูดจะดูเป็นการร้องขอกันดีๆ แต่น้ำเสียงนั้นปนฉุนเฉียวขั้นสุด ดูรู้ว่าพยายามข่มใจเต็มที่แล้ว

“ปลายไปดูให้หน่อยละกันนะ พี่เองก็วุ่นกับป้าเตียงนี้อยู่ เด็กรอนานแล้วจริงๆ นั่นแหละ ไปเถอะ ทางนี้เดี๋ยวพี่ช่วยดูต่อให้”

“ค่ะพี่แต้ว”

ปลายฝนเดินเร็วๆ ไปจนถึงเตียงคนไข้ที่อยู่ตรงมุมห้อง เด็กชายวัยอนุบาลนอนซมอยู่ ใบหน้าแดงก่ำ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นยืนอยู่ข้างเตียง ท่าทางกระวนกระวาย

แม้เขาจะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ แต่ปลายฝนกลับจำได้แทบจะทันที

แดนไท!

ใช่ ไม่ผิดแน่ๆ เขาคือ ‘พี่แดน’ ในวัยเด็กของเธอ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ร่างกำยำที่มากับส่วนสูงเกินร้อยแปดสิบทำให้เขาดูเด่นกว่าใครในห้องฉุกเฉินนี้

ปลายฝนภาวนาให้เขาจำเธอไม่ได้ เพราะเธอตัดสินใจแล้วว่าจะแกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ จะไม่ทักทายเขาแบบคนรู้จักเด็ดขาด ด้วยหลายเหตุผลที่สนับสนุนให้เธอทำเช่นนั้น...

ตั้งแต่ความอับอายที่เคยเป็นเจ้าสาวผู้ถูกฉีกหน้ากลางงานแต่งของตัวเอง ปลายฝนจำได้ว่าแดนไทมาร่วมงานวันนั้นด้วย ไหนยังเรื่องที่เขาไม่ยอมให้เธอไปพักที่บ้านไร่ แม้เพียงชั่วคราวก็ไม่อนุญาต ทำให้ทั้งเธอและพงษ์ผู้เป็นพี่ชายเกิดอาการไม่พอใจอยู่ลึกๆ แล้วยังมีเรื่องสุดท้ายที่เธอเองระแวง เกรงว่าเขาจะเห็นรอยช้ำบนแก้มจากการถูกประทุษร้ายโดยดาราสาวคู่กรณี...ทุกเรื่องล้วนน่าอับอายทั้งสิ้น

ปลายฝนรับไม่ได้ที่จะให้แดนไทรู้ว่านี่คือเธอ...คือ ‘น้องปลาย’ ที่เขาเคยรู้จัก เคยเอ็นดู

นาทีนี้ขอเป็นคนไม่รู้จักกัน จะดีเสียกว่า

“น้องมีอาการยังไงบ้างคะ คุณพ่อเล่าให้ฟังหน่อย เดี๋ยวพยาบาลจะได้แจ้งคุณหมอถูก” ปลายฝนพยายามทำน้ำเสียงเป็นการเป็นงานที่สุดและไม่สบตาแดนไท

“มีไข้สูงมาตั้งแต่ตอนเช้ามืด ผมให้กินยา นึกว่าจะดีขึ้นแต่ไข้กลับไม่ลดลงเลย มีอาการไอด้วย ปกติน้องเดี่ยวเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว แต่คราวนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าไม่ธรรมดา”

“สักครู่จะตามคุณหมอมาตรวจละเอียดอีกทีนะคะ แต่ตอนนี้คุณหมอติดเคสอื่นอยู่ เบื้องต้นจะช่วยเช็ดตัวลดอุณหภูมิให้ก่อน”

ปลายฝนทำการพยาบาลเบื้องต้นไปก่อน เพราะพยาบาลไม่มีหน้าที่วินิจฉัยโรคหรือสั่งยา เธอจึงวัดไข้เป็นระยะ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เด็กชาย แล้วโทรศัพท์ตามแพทย์เวรมาดู ในที่สุดขั้นตอนการรักษาจึงมาถึงการส่งเอกซเรย์ปอดและอื่นๆ จนทราบเบื้องต้นว่าเด็กปอดอักเสบ ต้องทำเรื่องแอดมิตนอนโรงพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งคืนเพื่อดูอาการ

เมื่อกระบวนการต่างๆ ผ่านไป แดนไทดูโล่งใจขึ้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเด็กชายไปพักในห้องพิเศษ เขาเดินเข้ามาหาปลายฝนซึ่งกำลังคีย์ข้อมูลต่างๆ ลงคอมพิวเตอร์ตรงโต๊ะ

“ขอบคุณคุณพยาบาลมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณ ลูกผมต้องแย่แน่ๆ ผมสงสารลูกก็เลยโวยวายไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” ปลายฝนยังพูดไม่ทันจบ นายแพทย์ศรุตก็เดินเข้ามาถึงตัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ปลาย เห็นแต้วบอกว่ารสาไปหาถึงห้องที่แฟลตเลยเหรอ ขอผมดูหน่อย เจ็บมากไหม”

ศรุตไม่สนใจเลยว่าเธอกำลังคุยกับแดนไทอยู่ ปลายฝนอับอายจนต้องถอยกรูดออกห่างจากนายแพทย์หนุ่ม

“ไม่ต้องมายุ่งกับปลาย ปลายไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”

ศรุตไม่ฟังคำเธอเลย ราวกับเขาอยากเห็นหลักฐานว่าภรรยาทำร้ายปลายฝนจริงๆ เขาถึงกับถือวิสาสะดึงหน้ากากอนามัยของเธอลง เผยให้เห็นแก้มด้านซ้ายที่ถึงตอนนี้บวมเล็กน้อยและมีรอยช้ำชัดเจนขึ้น

แดนไทคงเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรยุ่งด้วย จึงเดินจากไปเงียบๆ กระนั้นยังพอดีกับที่รสาเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉิน พร้อมโวยวายลั่น

“นั่นไง! หลักฐานตำตา ยังมีหน้ามาออดอ้อนออเซาะผัวฉันอีกเหรอ ทุกคนรู้ไว้เลยนะ ว่าพยาบาลคนนี้พยายามแย่งผัวฉัน! เพราะว่ายังใกล้ชิดกันแบบนี้เองคุณถึงได้บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรีบแต่งงานกับฉันเสียที ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่าลูกในท้องฉันน่ะเป็นลูกคุณหมอรุต เราจะแต่งงานกันแน่นอน ไม่ว่าจะมีมารคอยผจญแค่ไหน อย่าหวังว่ามาทีหลังจะช่วงชิงเขาไปได้ อย่าหวังเลยว่าจะใช้ความใกล้ชิดเป็นข้อได้เปรียบ ไม่มีทางซะละ ตราบใดที่ผัวฉันยังไม่ย้ายไปจากที่นี่ ฉันก็จะมาสอดส่องตลอดแหละ คอยดูสิ”

ปลายฝนสุดจะทน เธอหันหลังจะหนีไปจากเหตุการณ์วุ่นวายน่าอายนี้ แต่มีมือของรสาคว้าแขนไว้

“คิดจะหนีไปหน้าด้านๆ เหรอ รับปากมาก่อนว่าจะไม่ยุ่งกับผัวฉัน”

ไม่ใช่แค่รั้งตัว ถึงตอนนี้รสาผู้ขาดสติจับร่างปลายฝนเขย่าๆ อย่างแรง จนกระทั่งมีมือแกร่งของใครคนหนึ่งมารั้งแขนปลายฝน พาเธอหลุดออกมาจากภาวะกดดันนั้น เขาตะโกนลั่นใส่หน้ารสา

“นี่คุณดาราใหญ่ คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย ไม่อายชาวบ้านหรือไง นี่มันโรงพยาบาลนะ หึงผัวขนาดจะมาทำร้ายกันในห้องฉุกเฉินมันไม่เกินไปเหรอ ตั้งสติหน่อยสิคุณ” แดนไทโวยวาย แล้วประคองปลายฝนเดินไปจนถึงเตียงมีล้อที่น้องเดี่ยวนอนอยู่

“คุณพยาบาลช่วยผมพาลูกไปห้องพิเศษหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ”

ทันทีที่เวรเปลเข็นเตียงออกไปจากห้องฉุกเฉิน ปลายฝนเดินตามไปอย่างเลื่อนลอย ไม่เคยรู้สึกตื่นตระหนกจนมึนงงขนาดนี้ บางแวบนั้น เธอคิดอยากหนีหายไปจากโลกนี้

ทำไมคนคนเดียวมาจองล้างจองผลาญทำให้เธออับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ขนาดนี้...เวรกรรมจริงๆ

----------

บ้าบอที่สุด! นี่มันโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่เวทีละครน้ำเน่า

ที่สำคัญ ตัวละครหลักดันเป็นคนที่แดนไทรู้จักดีเสียด้วย มันทำให้เขานิ่งดูดายไม่ไหวจริงๆ ยอมไม่ได้ที่จะให้ปลายฝนโดนยำอยู่ฝ่ายเดียว แบบนี้มันเกินไปแล้ว

จะว่า ‘เสือก’ ก็ไม่สน! เขาทำไปแล้ว แดนไทประคองปลายฝนออกมาจากห้องฉุกเฉิน หนีไปให้ไกลจากรสาและหมอศรุตที่เอาแต่ยืนซื่อบื้อ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ผู้ชายแบบนั้นน่ะหรือ ที่ปลายฝนเคยถึงขั้นจะแต่งงานและฝากชีวิตไว้กับมัน

อันที่จริงวันนี้แดนไทจำปลายฝนได้ตั้งแต่แรกเห็น เพียงแค่ไม่อยากแสดงตัวเท่านั้น

เธอเป็นพยาบาลคนเดียวที่เจียดเวลามาดูอาการน้องเดี่ยวและช่วยรักษาพยาบาลเบื้องต้น นั่นทำให้คุณพ่ออย่างเขาซาบซึ้งใจมาก แรกทีเดียวแดนไทคิดว่าจะแสดงตัวว่าเป็นใคร แต่พอดูท่าทีแล้วเหมือนปลายฝนจะจำเขาไม่ได้ จึงไม่กล้าทัก แล้วอีกอย่าง เขาสังเกตเห็นรอยช้ำบนแก้มซ้ายใต้หน้ากากของเธอ ซึ่งอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร

แต่พอผ่านเหตุการณ์ที่รสามาอาละวาดถึงที่แล้วจึงเดาได้เลยว่าแก้มปลายฝนช้ำเพราะใคร

ผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องทนทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์บ้าๆ นั่นไปอีกนานแค่ไหน แดนไทอดคิดไม่ได้ว่านี่ถ้าเขายอมให้ปลายฝนมาพักที่บ้าน อย่างน้อยการใกล้ชิดกันระหว่างเธอกับหมอศรุตอาจลดลง ไม่เกิดข้อครหาใดขึ้นง่ายนัก หลบมาพักไกลๆ กันหน่อยคงดีขึ้นแน่ ยายดาราประสาทแดกนั่นคงไม่กล้าราวีกันขนาดนี้

คิดได้อย่างนั้นแล้ว อีกสามวันต่อมาหลังจากน้องเดี่ยวอาการทุเลาลงจนคุณหมอให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน เมื่อแดนไทดูแลจนลูกชายนอนหลับพักผ่อนโดยมีนมเป่งคอยเฝ้าตลอดเวลาแล้ว เขาจึงปลีกตัวออกจากห้องนอนลูก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์แล้วกรอกเสียงลงไป

“ไอ้พงษ์ กูขอโทษที่ไม่ยอมให้น้องปลาย...เอ่อ...ปลายมาพักด้วย กูขอโทษจริงๆ ว่ะ มึงช่วยจัดการให้น้องมึงมาพักบ้านกูด่วนเลย กูจะเตรียมห้อง เตรียมทุกอย่างให้อย่างดี ให้พักตามสบาย จนกว่าเพื่อนปลายจะย้ายมาอยู่ที่แฟลตด้วย ช่วยหน่อยนะมึงนะ ช่วยจัดการให้กูที”

“มึงไปโดนตัวไหนมา เกิดอะไรขึ้น ไอ้เหี้ยแดน ไหนมึงปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดไง” พงษ์ตะโกนลั่นจนแดนไทต้องถือโทรศัพท์ให้ห่างจากหู เร่งตอบเพื่อนก่อนจะโดนด่ามากไปกว่านี้

“กูขอกลับคำ กลับใจ กูจะไม่ใจดำแบบนั้นอีกแล้วไอ้พงษ์ กูขอโทษว่ะ มึงไม่ต้องซักไซ้มาก จัดการให้น้องมึงย้ายมาพักที่บ้านกูด่วนเลย กูไหว้ละ”

----------

“ไม่ไปเด็ดขาด! ยังไงปลายก็ไม่ยอมไปอยู่ในบ้านไร่ของคนใจดำแน่ พี่พงษ์ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาปฏิเสธปลายแบบไร้น้ำใจ แล้วคิดยังไงจะมากลับคำ บ้าหรือเปล่าเนี่ย” ปลายฝนตะโกนใส่โทรศัพท์

“ไม่เอาน่าปลาย นาทีนี้บ้านไร่นั่นแหละคือคำตอบ พี่รู้เรื่องหมดแล้วว่ายายรสาไปราวีแกถึงแฟลต ไม่เว้นแม้แต่ตอนทำงานในโรงพยาบาล ขนาดนี้ไม่อายคนเขาบ้างหรือไง แล้วพี่ก็ไม่ได้ไปขอร้องไอ้แดนเลยนะ มันโทร.มาเล่า มาขอโทษแล้วยังขอให้ปลายไปพักที่ไร่ของมันเอง”

สิ่งที่พงษ์บอกน้องสาวคือความจริงทั้งหมด เขาดีใจมากที่ในที่สุดเพื่อนก็ยอมให้การช่วยเหลือ อย่างน้อยๆ ให้น้องสาวเขาได้มีที่พักชั่วคราวก่อน เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นอีก

ยิ่งคิดพงษ์ยิ่งรู้สึกผิดต่อปลายฝน ที่ผ่านมาเขาคงเลี้ยงน้องมาอย่างประคบประหงมเกินเหตุ ใครไม่มาเป็นเขาไม่มีวันเข้าใจ ภาพที่น้องสาววัยรุ่นของเขาเกือบโดนลวนลามในบ้านพ่อเลี้ยงนั้นยังติดตา โชคดีแค่ไหนที่วันนั้นเขากลับบ้านเร็วกว่าปกติ จนทำให้ได้เห็นกับตาและช่วยเหลือน้องสาวไว้ทัน

เขายังจำได้ว่าปลายฝนร้องไห้ กลัวจนตัวสั่นขณะสารภาพว่าก่อนหน้านั้นพ่อเลี้ยงมาทำก้อร่อก้อติกกับเธอหลายหนแล้ว ส่วนใหญ่จะด้วยคำพูดหยอกเย้า หรืออย่างมากก็ถูกเนื้อต้องตัวเล็กน้อย ซึ่งปลายฝนฉลาดพอที่จะหลบหลีกได้ทุกคราว แต่ครั้งนี้โอกาสเหมาะ แม่ไม่อยู่บ้าน มันจึงเริ่มลงมือลวนลาม และพงษ์ก็เข้ามาเห็น มาช่วยน้องสาวไว้ได้ทัน พงษ์กระชากมันออกจากร่างน้องสาว ต่อยมันจนปากแตก ถ้าแม่ไม่กลับมาพอดีและห้ามไว้ เขาอาจจะฆ่าพ่อเลี้ยงสารเลวตายคามือไปแล้วก็ได้

พงษ์ไม่มีทางลืมว่าคืนนั้นเขากับปลายฝนเก็บข้าวของออกมาจากบ้านพ่อเลี้ยงทันที ต่อให้นางเปรมสุดาผู้เป็นแม่ทัดทานแค่ไหนเขาก็ไม่ฟัง พงษ์ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกพาน้องสาวไปอาศัยที่บ้านย่า อยู่กับย่าจนที่สุดจึงค่อยๆ ขยับขยายเมื่อพงษ์เรียนจบและหาเงินเองได้ มีงานที่มั่นคง เขาจึงพาปลายฝนออกไปพักในบ้านเช่า

พงษ์ทำงานส่งน้องเรียนจนจบ คงนึกภาพออกว่าเขาทั้งรักและห่วงใยน้องสาวขนาดไหน ปลายฝนเคยผ่านเหตุการณ์แย่ๆ เกี่ยวกับผู้ชายซึ่งมันคงฝังในใจเธอไปแล้ว พงษ์จึงตั้งปณิธานว่าจะปกป้องน้อง ไม่ให้ต้องเจอเรื่องเลวร้ายอีก

กระนั้นเขาก็ยังพลาด อนุญาตให้น้องแต่งงานกับหมอศรุตซึ่งเคยนึกว่าดีและเหมาะสม แต่กลับพบว่ามันมีเมียแล้ว มีเรื่องน่าอายน่าเจ็บปวดเกิดกับปลายฝนเข้าอีกจนได้

และนั่นทำให้พงษ์ยิ่งระมัดระวัง เขาต้องดิ้นรนทุกทางเพื่อปกป้องน้องสาวคนนี้ให้ดีที่สุด มันต้องดีกว่าที่ผ่านมา และเขายังเชื่อว่าการที่ปลายฝนมีแดนไทช่วยปกป้องอีกคน...เป็นเรื่องที่ดี

“ไม่ค่ะ ปลายไม่ขอยุ่งกับคนพรรค์นั้นหรอก...บ้าบอ! คิดเหรอว่าคนเขาอยากไปอยู่ไร่ตัวเองนักน่ะ ปลายไม่สบายใจหรอกค่ะพี่พงษ์ ไปอยู่บ้านเขาเฉยๆ คงไม่ดีอีก แต่จะให้ไปช่วยทำไร่ ปลายก็ไม่ไหวเหมือนกัน” เสียงน้องสาวดึงพงษ์กลับมาสู่ปัจจุบัน

“มันไม่ได้เรียกร้องให้แกไปช่วยทำไร่สักหน่อย” พี่ชายบอกเสียงอ่อย

“ไม่รู้แหละ ปลายไม่ไปอยู่บ้านพี่แดน ไม่ถนัดอยู่ในไร่ในสวน”

“ปรับตัวเอาหน่อยนะปลายนะ จะว่าไปตอนเด็กๆ แกชอบไปบ้านนั้นจะตายไป จำไม่ได้หรือไง พี่ขอร้องละ ถ้าแกไม่ไปอยู่บ้านไร่ พี่คงเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงานทำการ แต่ถ้าแกยอม พี่คงโล่งใจ นึกว่าเห็นแก่พี่นะ ไปพักแค่ชั่วคราวเอง เดี๋ยวพอปิงย้ายไปสุพรรณ ก็กลับไปอยู่แฟลตพยาบาลกับปิงไง”

“...”

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com