ทดลองอ่าน บังบด : ตอนที่ 4

 

 

ตอนที่ 4

 

 

หลายวันต่อมาบนภูสูงผาพยับเมฆ

“ฉิบหาย!” เสียงร้องอย่างหัวเสียดังมาจากหัวแถวที่รุกล้ำเข้าไปในป่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ

“อะไรหัวหน้า” คมคายสะดุ้งโหยง หยุดเท้าแทบจะไม่ทัน

“กูไม่เข้าใจว่าจะเอากระรอกกระแตแค่ตัวสองตัว ทำไมต้องโค่นไม้ทั้งต้นด้วย ต้นเท่าขาแล้วแท้ๆ กี่ปีจะได้เท่านี้” รุกข์มองนำไปที่ต้นรังหนุ่มที่ถูกตัดขาดกลางลำ โพรงเล็กๆ นั้นเป็นรังของกระรอกกระแตที่ว่า ใบเขียวอ่อนเพิ่งเริ่มเหี่ยว ร่องรอยไม่น่าเกินวันสองวัน

เขาช้าไปอีกแล้ว

“สูญไปอีกหนึ่ง” เขาพึมพำแล้วสาวเท้าเดินนำเลยไม้ต้นนั้นไป มุ่งหน้าไปบ่อกอเตย แหล่งส่องสัตว์ที่ชุกชุม เป้าหมายของนักล่าสองขาที่นับวันจะอุกอาจมากขึ้นทุกที ทีมเดินป่าของเขาวันนี้มีเพียงสี่นาย คือเขา คมคาย ยอดชาย และอิสระ...เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่เพิ่งย้ายมาใหม่ได้ไม่นาน แต่ก็มีความชำนาญพอสมควร เพราะเคยปฏิบัติหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติอื่นมาก่อนแล้ว รุกข์ไม่เคยนิยมการพาลูกน้องเข้าป่าไปทีละมากๆ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ที่มาใหม่ เขาต้องพาลาดตระเวนเพื่อให้คุ้นกับป่าไว้บ้าง

‘ไปกันสักสิบนายสิหัวหน้า อุ่นใจดี กอเตยมันไม่ใช่เล่น’ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ไม่ได้มาด้วยอดห่วงไม่ได้

‘ยกโขยงกันไปล่อเป้าหรือไง กลิ่นพวกมึงคงโชยไปยั่วน้ำลายให้มันมากันทั้งป่า’ หัวหน้าพูดให้เสียวสันหลังก่อนจะสรุปแผนเดินป่าแล้วเดินกลับบ้านพักไปเตรียมตัวเงียบๆ

บ่อกอเตยมีของดี ชาวบ้านที่ไปเดินป่าเผอิญได้ไหเก่า ของโบราณติดมือมาจากถ้ำกอเตยหลายใบ ขายได้เงินไม่ใช่น้อย ทำให้ใครๆ ก็อยากขึ้นไปหา ‘ของเก่า’ บ้าง บางครั้งพวกล่าสมบัติเหล่านี้ก็ล่าสัตว์ป่าติดไม้ติดมือลงมาด้วยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว และนั่นคือหน้าที่ของพวกเขาในการพิทักษ์ป่าและสัตว์ป่าให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน

“บางคนเอาไปแลกทีวีนะหัวหน้า ไหเก่าอายุเป็นร้อยๆ ปี แทนที่จะเอาไปขายให้ได้เงินหมื่น” คมคายแสดงความคิดเห็นระหว่างมื้อเที่ยงที่ใต้ต้นมะค่าใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น

“แลกหรือขายก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น” คนเป็นหัวหน้ากระดกกระติกน้ำชาสมุนไพรอุ่นๆ ขึ้นดื่ม “มึงพูดยังกับเป็นโจร ไม่ใช่เจ้าหน้าที่”

“เอ๊า ก็ผมยังไม่บรรลุ” คมคายคนทะเล้นไม่ลดละ ทั้งอุทยานฯ ก็เห็นจะมีแต่เขานี่ละที่กล้าหยอกล้อกับหัวหน้ารุกข์

“ให้กูช่วยไหมล่ะ” ขายาวขยับไว

“บ๊ะ เอะอะใช้แต่กำลัง” คมคายถอยห่างไวไม่แพ้กัน

“ของพวกนี้ถ้าเจอต้องเอาไปส่งหลวงใช่ไหมหัวหน้า เอาเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลย สมบัติของชาติไทยนี่นะ” อิสระออกความเห็นบ้าง

“มึงรู้ได้ไงว่ามันเป็นสมบัติของชาติไทย ของใครสมัยไหนก็ไม่รู้ต่างหาก ของของเขา เขาหวง” นายพูดเสียงเรียบ หางตาเห็นเงาไหวแวบ เขาขบริมฝีปากล่าง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย

“หัวหน้า พูดซะขนลุก” คมคายขยับเข้ามาใกล้ ลมเย็นๆ กระแสหนึ่งพัดมาวูบไหว ชวนให้ขนลุกจริงอย่างว่า อิสระพลอยหน้าเปลี่ยนสีไปด้วย ขณะที่ยอดชายมองตามสายตาของหัวหน้าหนุ่มไปยังโคนต้นไทรใหญ่อีกฟากหนึ่ง เขาสังเกตเห็นรุกข์ พนมไพรมองไปทางนั้นหลายหนแล้ว

“อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อได้” เขาออกคำสั่งง่ายๆ ละสายตาจากโคนต้นไทรแล้วคว้าเป้ลุกขึ้นยืนก่อนจะออกเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรอีก ยอดชายผลักหัวไหล่คมคายและอิสระให้ลุกขึ้นเก็บของออกเดินตามหัวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

----------

ป่ายามสนธยาทั้งสงบทั้งวังเวงสำหรับคนไม่เคยป่า หากพิทักษ์ป่าทั้งสามยกเว้นอิสระมีความคุ้นเคยกับผาพยับเมฆมาพอสมควรจึงได้สาวเท้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เสียงนกกระพือปีกโฉบผ่านแนวไม้เหนือหัวพึ่บพั่บ บางครั้งราวกับแกล้งให้ขวัญหนี อิสระเหลือบตามองล่อกแล่ก เขาเร่งฝีเท้าเข้าชิดใกล้คมคายมากขึ้น

“มีอะไรอิสระ”

“นกอะไรพี่”

“กูจะไปตรัสรู้เรอะ นกป่ามั้ง” คมคายตัดบทมากกว่าจะคิดตอบจริงจัง “ไปถามหัวหน้าสิ”

“ถามให้ถูกถีบเรอะ” อิสระหน้าบึ้ง เหงื่อซึมหมวกแผ่นหลัง โชคยังดีที่อากาศเริ่มเย็นลงมากแล้ว ตะวันคล้อยต่ำ จนจวนลับเหลี่ยมเขาเต็มที เสียงน้ำไหลจ๊อกแจ๊กดังแว่วมาแต่ไกล นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว

“พักบนถ้ำหรือไงครับหัวหน้า”

“นอนบนต้นไม้ดีกว่าอายอด ไปห้างไม้เดิมที่เราทำไว้ห่างจากป่าไผ่หน่อย ช่วงนี้หน่อไม้ออกมาก พวกสัตว์อาจจะลงมากิน ถ้าพักแถวนั้นจะกวนพวกมันเปล่าๆ” คนเป็นหัวหน้าหันมาบอก

“ครับ”

ห้างไม้แห่งนั้นสร้างไว้ง่ายๆ บนต้นมะค่าใหญ่สองต้นที่เกิดเกี่ยวกันไว้อย่างแน่นหนา พวกเขาใช้ไม้แก่นยืนต้นตายมาพาดไขว้ทำที่พักง่ายๆ พอสำหรับคนสองสามคนนั่งกันสบาย เหลือพอสำหรับนอนได้สองคน ที่เหลืออาจอาศัยผูกเปลนอนได้ไม่ไกลกันนัก อิสระมองที่พักที่อยู่สูงจากพื้นดินเกือบห้าเมตรด้วยความพอใจ เขายังไม่ชินกับการนอนกลางดินกินกลางทรายเท่าใดนัก แม้มันจะเป็นอุดมการณ์ของหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ อย่างเขามานานแล้วก็ตาม

“หุงหากันบนลานดินนี่ล่ะนะนาย เดี๋ยวผมไปตักน้ำมาหน่อย น้ำสะอาดในกระติกจะเก็บไว้ดื่ม” คมคายเอ่ย พยักพเยิดชวนอิสระ

“หาผักหนาม ผักกูดมาจิ้มน้ำพริกสักกำสิคม ที่ริมห้วยนั่นล่ะ”

“ครับผม” คมคายรับคำยอดชายแล้วก็เดินนำอิสระมุ่งหน้าไปทางลำธารที่ไหลมาจากบ่อกอเตยจุดหมายของการลาดตระเวนในครั้งนี้

รุกข์ลดสัมภาระลงที่โคนต้นไม้ ถอดหมวกที่เปียกเหงื่อวางบนเป้ พิงอาวุธประจำกายไว้ไม่ห่างแล้วเอนหลังพิงโคนไม้ สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ ยอดชายแยกไปหาไม้แห้งมาทำฟืนก่อไฟ ไม่นานควันไฟจากกองไฟก็ลอยขึ้นอ้อยอิ่ง ตามมาด้วยเปลวไฟสีแดงส้มให้ความสว่างในยามสนธยาและความอุ่นใจอย่างประหลาด

“วิวดีนะหัวหน้าตรงนี้” พิทักษ์ป่าสูงวัยเอ่ยยิ้มๆ เขาวางหม้อหุงข้าวชาวไพรลงบนกองไฟเสร็จก็ขยับมานั่งพักรอให้ข้าวสุก เขาพยักพเยิดไปทางพะยูงยักษ์ที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้า

“วิวสิบล้านแบบนี้ดีแน่อายอด ว่าแต่มันจะอยู่ได้นานขนาดไหนกันล่ะ”

“นั่นสิหัวหน้า ไม้พะยูงราคาดีนัก เมื่อก่อนแถวนี้มีเป็นสิบๆ ต้น สูงใหญ่ทั้งนั้น ตอนนี้เหลือสี่ห้าต้นพอได้ชม” ยอดชายมองไปที่ไม้ยืนต้นสูงสล้าง ยืนหยัด โรยกิ่งใบกลมมนดูแสนธรรมดา ใครจะนึกว่ามูลค่าของมันมหาศาล ความงามของเนื้อไม้ทำให้ราคามันสูงลิ่วและตกเป็นเป้าหมายของพวกลักลอบตัดไม้

“คนเรานี่ก็แปลกนะหัวหน้า กะอีแค่ไม้ยังต้องคัดสรร เลือกจะเอาที่เขาหวงห้ามที่มันใกล้สูญพันธุ์ ไม้สักปลูกขายมีออกเกลื่อนทำไมไม่ใช้”

“บางทีความยากมันก็เป็นความท้าทาย ขอให้ได้ชื่อว่ากูเอาได้ กูซื้อได้เท่านั้น”

“นั่นสินะ เออ หัวหน้า ผมหาลูกจ้างทำบัญชีคนใหม่ได้แล้วนะ” นายยอดมีทีท่ากระตือรือร้น คนเป็นนายแค่เลิกคิ้วเข้มขึ้นมองมานิ่งๆ แกจึงพูดต่อไปว่า “ลูกสาวของเพื่อนน่ะครับ เด็กดีนะครับอุตส่าห์ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ มาดูแลพ่อ พี่เปรมเคยเป็นช่างอยู่อุทยานฯ ตอนนี้แกป่วย”

“งั้นรึ” หัวหน้าไม่มีทีท่าสนใจไปมากกว่านั้น

“สวยนะหัวหน้า” นายยอดชายลองแย็บหมัด

“ก็ดีน่ะสิ” เขาทำเสียงหึๆ ในลำคอฟังราวกับคำราม “อายอดก็ยังโสด จีบเสียเลยสิ”

“ไอ้หยาหัวหน้า จะให้พี่เปรมเหยียบยอดอกผมหรือไงกัน หนูคนนั้นเขางามยังกับดอกฟ้า แถมยังเป็นรุ่นหลานผมอีก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกจ้างเขาไปเถอะ”

“เรื่องอะไรล่ะหัวหน้า” ยอดชายร้อง

“ดอกฟ้าไม่เหมาะกับงานพิทักษ์ป่าหรอกน่า”

“ใครว่าดอกฟ้าเล่าหัวหน้า” ท่าทางยอดชายมีลับลมคมใน

“ไหนว่าสวย”

“สวยสิ แต่หนูคนนี้เขาเป็นดอกอินถวาต่างหาก”

“เจ้าคารมนักนะ จะดอกอะไรก็หามาเถอะ ให้ทำงานเป็นก็พอ เปิด รับสมัครให้ถูกต้องด้วยล่ะ เดี๋ยวโดนครหาอีก”

“ครับ เปิดตามระเบียบทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าไม่มีใครมาสมัคร ฮ่าๆ ราชการเรานี่มันแปลกจริง ผมทำงานมาจนแก่ปานนี้ยังได้แปลกใจเรื่อยๆ เพื่ออะไรวะ” ยอดชายบ่นน่าคิด แต่รุกข์เลิกให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนานั้นแล้ว เขาขยับเหยียดท่อนขายาวแข็งแกร่ง ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ

“อิสระเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ พอใช้นาย ไม่ตื่นป่าอย่างไอ้นพ ผมว่าพาออกมาบ่อยๆ คงดีขึ้น”

“ดี คืนนี้ฝากพี่ยอดดูด้วย ผม...คงยุ่ง”

“ครับนาย” ยอดชายเหลือบมองหัวหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกไปดูหม้อข้าว ถ้าคืนนี้หัวหน้าออกปากว่าจะยุ่ง เขาก็คงต้องเตรียมการกันสักหน่อย

ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนนั่นไปหลงระเริงป่ากันถึงไหน ป่านนี้ยังไม่กลับ มันชักจะมืดลงไปทุกที

“นั่นไงมากันแล้ว” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยก่อนที่ร่างกำยำทั้งสองจะเดินพ้นแนวไม้มาด้วยซ้ำ คมคายวางผักกูดผักหนามในห่อใบไม้ลงข้างๆ กองไฟ อีกห่อหนึ่งมีเห็ดป่านานาชนิด อิสระแบกฟืนท่อนใหญ่ไปวางลงอีกฟากหนึ่งก่อนจะปัดเนื้อตัวแล้วเดินมาร่วมวง

“รอยตีนสัตว์ใหญ่เกลื่อนไปหมดเลยหัวหน้าที่กอเตยนั่น”

“วันนี้เดือนหงายเสียด้วย”

“ทำไมหรืออายอด”

“พวกมึงก็จะได้เห็นของดีน่ะสิ”

“ของดีอะไรอา สัตว์ป่าน่ะเหรอ” อิสระไต่ถามแต่ไม่มีใครตอบ เขาจึงถอดเสื้อเปื้อนดินที่แบกฟืนมาออก เตรียมตัวไปล้างเนื้อล้างตัว

“อย่าไปไกลมากนักล่ะอิสระ”

“ครับหัวหน้า” เขาวางปืนพิงไว้ข้างต้นไม้ใหญ่ แต่แล้วก็ต้องชะงัก

“เข้าป่า อย่าทิ้งปืน”

“ครับหัวหน้า” อิสระคว้าปืนมาถือไว้ นี่สงสัยหัวหน้าจะให้เขาหอบปืนลงไปอาบน้ำด้วยกระมัง

คมคายมองหน้าขรึมๆ ของนายแล้วก็มองตามแผ่นหลังขาวๆ ของอิสระไปพลางว่า

“ไอ้นี่มันขาวจั๊วะ น่าเจี๊ยะจริงๆ”

“ขนาดมึงเห็นแล้วยังเปรี้ยวปาก แล้วคนอื่นล่ะ” ผู้อาวุโสสุดกล่าวลอยๆ มือยัดดุ้นฟืนเร่งไฟให้ลุกขึ้นแข่งกับความมืดที่เริ่มคืบคลานเข้าปกคลุม อุณหภูมิของป่าลดลงอย่างรวดเร็วในยามค่ำคืน

กลิ่นหมกเห็ดป่าปะปนกับน้ำพริกผักต้มข้าวสวยร้อนๆ อบอวลชวนให้ท้องของคนที่เดินบุกป่าผ่าดงมาตลอดทั้งวันเร่งรีบตักข้าวเข้าปาก เสียงหรีดหริ่งเรไรบรรเลงก้องกังวานราวป่า เสียงบางเสียงสะท้อนไปมา บ้างสอดแทรกกราวเกรียว คนไม่ชินป่าฟังเท่าใดก็แยกแยะไม่ออก คนที่สดับเสียงป่าจนชินหูจึงรู้ว่าอันไหนเสียงธรรมชาติและอันไหน ‘เหนือ’ กว่าธรรมชาติขึ้นไปอีก

“งีบกันสักหน่อย ดึกๆ ขึ้นไปดูที่กอเตยกันสักรอบ”

“ครับหัวหน้า”

ไม่นานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทั้งสามก็หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อน มีเพียงคนเป็นหัวหน้าที่นั่งจ้องมองเปลวไฟที่ลามเลียท่อนไม้อยู่เงียบๆ เสี้ยวหน้าคมสันเคร่งขรึม และริมฝีปากได้รูปปิดสนิท มีเพียงดวงตาที่เต้นตามเปลวไฟเป็นจังหวะเดียวกันกับก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นในหัวอก

เขารู้ว่าคืนนี้ป่ากอเตยไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย แม้มันจะเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์ที่ชุกชุมไปด้วยผู้ล่าและเหยื่อ แต่มันก็เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ แต่คืนนี้มันแตกต่างออกไป ป่าในแสงจันทร์เดือนหงาย กลับดูรางๆ เลือนๆ ราวภาพทับซ้อน ในความสดใสของเสียงหรีดหริ่งเรไรกลับเจือด้วยเสียงหัวร่อลึกเย็นเย้ยหยัน ชวนให้ขนลุกชัน

รุกข์หยิบฟืนขึ้นมาท่อนหนึ่ง จ่อปลายเข้ากับกองไฟให้ลุกโชนแล้วเหวี่ยงมันไปในความมืดที่บีบรัดเข้ามา เหมือนโยนมันลงไปในหนองน้ำแห่งความมืดจนแตกซ่าน เกิดแสงสว่างจ้า แวบหนึ่งหางตาเขาเห็นความเคลื่อนไหว หูแว่วเสียงกรีดร้องเกรี้ยวกราด

“อะไร...หัวหน้า” อิสระนอนอยู่บนเปลด้านนั้นผุดลุกขึ้น เหงื่อกาฬแตกพลั่ก

“นอนไป” หัวหน้าเอ่ย หากสายตามองไปที่ดุ้นฟืนที่ยังไม่มอดไหม้ มันลามเลียใบไม้แห้งแถบนั้นจนกลายเป็นกองไฟเล็กๆ อีกกองหนึ่ง

“ครับ แต่มันหนาวๆ ชอบกล” อิสระหย่อนขาลงมาจากเปลนอน หยิบท่อนไม้แห้งโยนเข้าไปเป็นเชื้อไฟอีก เขาฝันร้าย ฝันแปลกประหลาด ฝันว่าตัวเองหลงป่าตามลำพัง น่าตกใจยิ่งนัก ยังดีที่ตื่นขึ้นมาเจอหัวหน้าเสียก่อน

“นอนป่ามักจะหลับไม่สนิท” หัวหน้าเอ่ยเสียงเรียบ

“ครับ ผมฝันร้าย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้นึกถึงครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ให้ท่านคุ้มครอง” หัวหน้ามองมานิ่งๆ เอ่ยเสียงเรียบ อิสระพยักหน้า ไม่นานคมคายกับยอดชายก็ตื่นขึ้น ทั้งหมดเตรียมตัวออกลาดตระเวน

ป่ากอเตยเป็นป่าดิบชื้น มีความลาดชันสูง ทั้งหมดต้องเดินตามสันเขาลัดเลาะลงต่ำไปเรื่อยๆ ไปยังต้นน้ำอันเป็นบริเวณกว้างขวาง มีโป่งสัตว์ และธารน้ำใสเย็น ทั้งกอไผ่ที่อุดมไปด้วยหน่อไผ่และพืชน้ำสมบูรณ์ยิ่งนัก บริเวณนั้นมีห้างไม้เก่าที่เจ้าหน้าที่ทำไว้สำหรับหน่วยลาดตระเวนมาเฝ้าระวังสัตว์ป่าและพันธุ์ไม้อีกที่ มันมีขนาดเล็กกว่าและกลมกลืนไปกับป่าจนแทบสังเกตไม่เห็น

ปัง!

เสียงกึกก้องดังขึ้นกลางไพรเขย่าขุนเขาให้สะท้านสะเทือน

“อายอดไปกับคมคาย อิสระตามมา!” เสียงนายสั่งก่อนจะรุดหายไปในความมืด อิสระรีบวิ่งตามไปจนสุดฝีเท้า ดูเหมือนเสียงปืนนัดนั้นยังก้องอยู่ในหัวของเขา ทั้งสองวิ่งลงไปตามความลาดชันของเชิงเขาที่รกเรื้อ แสงจันทร์สาดส่องไม่ถึงพื้นดิน เงาของคมคายและยอดชายลับหายไปอีกด้าน

“จับตาย!”

“อะไรนะหัวหน้า” อิสระเงี่ยหูฟัง ตามองตามร่างสูงใหญ่ที่รุดไปข้างหน้า หูได้ยินคำสั่งแว่วๆ

จับตายงั้นรึ ขนหัวเขาลุกเกรียว น้ำเสียงของหัวหน้าเด็ดขาด เยือกเย็น

“อิสระ อิสระ ยืนทื่ออะไรอยู่ แยกไปทางโน้น เร็ว!” ร่างสูงหยุด หันมามอง อิสระเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมด้วยความคลางแคลงใจ

“หัวหน้า...เอ่อ...คือ”

“ไป เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทันการ” หัวหน้าผลักหัวไหล่เขาแล้วแยกออกไปอีกทาง อิสระยืนคว้างอยู่ในความมืด คำสั่งของหัวหน้ายังก้องหู

‘จับตาย’

เขากระชับปืนมั่น สาวเท้าไปอีกทาง ด้านหน้าลานดินกว้างขวาง แสงจันทร์สาดส่องทะลุยอดไม้ลงมาบริเวณนั้น

อนิจจา ร่างเล็กของกวางรุ่นเหยียดยาว ขาทั้งสี่ชักกระตุก กระเสือกกระสน ดวงตาเหลือกลาน ใกล้ๆ กันนั้นร่างเตี้ยล่ำของผู้ล่าสองขาเดินพ้นราวป่าออกมา พร้อมอาวุธสังหารในมือ อิสระประทับปืนขึ้นเล็ง หูแว่วคำสั่งหัวหน้า

‘จับตาย’

“เฮ้ย อิสระ อย่า!”

“ฆ่ามัน” เสียงที่ก้องอยู่ในหูเกรี้ยวกราด ขัดใจ เหมือนไม่ใช่เสียงหัวหน้า อิสระลังเล มือที่ยกปืนขึ้นประทับมั่นสั่นเทา ร่างพรานที่ตกเป็นเป้าปล่อยปืนให้หล่นลงพื้น สองมือชูขึ้น เข่าทรุดลงข้างร่างไม่ไหวติงของกวางหนุ่ม ดวงตา เหลือกลานด้วยความกลัว

“อย่า อย่ายิงผม”

“กูบอกให้จับตาย” เสียงร้องก้องเข้ามาในหูอีกรอบ พิทักษ์ป่าหนุ่มประทับปืนจับเป้ามั่น

“อย่ายิง ผะ ผมยอมแล้ว อย่า”

“อิสระ หยุด!” คราวนี้หูได้ยินแจ่มแจ้งว่าเป็นเสียงนาย หากร่างของอิสระกลับแข็งทื่อ มีเพียงนิ้วที่กำลังเหนี่ยวไกปืน หัวใจของอิสระปวดร้าวราวกับถูกบีบเค้น

“ฆ่ามันซะ ไอ้ฆาตกร” เสียงกระซิบแผ่วข้างหู ละม้ายเสียงที่ชักชวนเขาเดินดงเข้าป่าลึกในฝัน อิสระหรี่ตาเล็งเป้าอีกครั้ง

พลั่ก!

ปัง! ปัง!

“โอ๊ย!”

“คม มัดอิสระไว้ อายอดจับพรานเหน่ง” เสียงออกคำสั่งดังขึ้นหลังจากพุ่งเข้ากระแทกร่างของอิสระให้ล้มคว่ำ กระสุนปืนวิ่งออกไปสองนัดพลาดเป้าไปไม่ถึงวา จนนายพรานที่คุกเข่าอยู่ถึงกับฟุบลงกับดินแทบสิ้นสติ

“จับตาย จับตาย จับตาย” เสียงอิสระร้องลั่นดิ้นพล่าน จนคมคายที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจับไว้ไม่อยู่ คนเป็นหัวหน้าจึงต้องเดินเข้ามาซัดด้วยด้ามปืนจนหมอบไป

“ช่วยผมด้วย สหายมันจะยิงผม”

“สหายที่ไหนพราน พรานนั่นล่ะถูกจับแล้ว”

“สหายนั่นไง มันจะจับตายผม” พรานเหน่งชี้มือไปที่อิสระที่สลบแน่นิ่งไปแล้ว ยอดชายมองตามแลสบตากับหัวหน้าหนุ่ม

“พื้นที่สีชมพูยังไงล่ะ คอมมิวนิสต์เก่า” รุกข์ พนมไพรเอ่ย เขาหยิบปืนของอิสระมาถือไว้ หันกลับไปมองร่างไร้วิญญาณของกวางก่อนจะวางตาลงที่ผู้ปลิดชีวิตมัน

“บางทีพิทักษ์ป่าอย่างเราน่าจะใช้บทลงโทษของสหายเขาเสียบ้าง” รุกข์เอ่ยเสียงเย็นแล้วก็เดินนำทั้งหมดนำตัวนายพรานเหน่งที่หมดฤทธิ์และอิสระกลับไปที่ห้างไม้ ระหว่างที่รอให้อิสระฟื้น เขาให้คมคายวิทยุนำกำลังช่วยเหลือขึ้นมาที่ป่ากอเตย

ภาพของ ‘สหาย’ ผู้สวมเครื่องแบบสีน้ำตาลซีดเก่าบนหมวกมีตราดาวแดงโดดเด่นยืนเล็งปืนไปที่พรานเหน่งเด่นชัดขึ้น อิสระถูกใช้เพื่อ ‘จับตาย’ ตามกฎของเหล่าสหายที่เคยลาดตระเวนและยึดครองขุนเขาผาพยับเมฆที่ฐานที่มั่นเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษก่อน

รุกข์ไม่อาจตอบคำถามที่ดังก้องอยู่รอบกายของตนเองได้

“มันฆ่า มันเอาชีวิต ทำไมไม่จับตาย ทำไม”

เขาทำได้แต่หันหลังให้แล้วเดินออกจากป่าไป

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com