ทดลองอ่าน ปลายปากกาอินเลิฟ 2 เรื่อง ใต้ร่มแมกโนเลีย : ตอนที่ 12

 

 

ตอนที่ 12

 

 

เวลานั้นลมพัดเย็นสบาย ท้องฟ้าหลากหลายเฉดสีมลังเมลืองอยู่ฟากฟ้าตะวันตก แมกโนเลียวางกระชอนลงแล้วนั่งหย่อนขา ทอดสายตามองออกไปสุดสายตา เสียงคลื่นซัดสาดสลับกับเสียงนกทะเลโฉบลงมาจับปลาเป็นระยะ ทำให้ใจเธอสงบเยือกเย็น นานทีจะได้เห็นเงาของเรือชาวประมง หรือเรือของชาวเมืองที่ขับออกมาพักผ่อนหย่อนใจแล่นอยู่ไกลๆ แล้วก็ลับหายไปซ้ายขวา

ใบหน้าเล็กแหงนเงยรับสายลมทะเล ปล่อยเรือนผมยาวปลิวไสว ดวงตาทั้งสองปิดลงครู่หนึ่งจึงได้รับรู้ถึงหยาดน้ำอุ่นที่ไหลออกมาเงียบๆ นานเหลือเกินแล้วที่แมกโนเลียไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอ หล่อนคงเหนื่อยที่ต้องฝืนเข้มแข็งแล้วสินะ

ฮึก! แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

แมกโนเลียปล่อยให้น้ำตาไหลรินอยู่อย่างนั้นจนแสงสุดท้ายลับขอบฟ้า ไฟที่สะพานไม้สว่างขึ้นอัตโนมัติ หล่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปรอบตัว ผืนน้ำกว้างใหญ่มืดมิดตามด้วยแสงไฟจากเรือหาปลาวิบวับไม่กี่ลำ รถของหล่อนยังจอดนิ่งอยู่ในแสงสลัว ซาร่าและพีทยังไม่กลับมา หล่อนเดินกลับไปหยิบมือถือที่กระเป๋ามาเปิดดูจึงได้เห็นข้อความขอโทษขอโพยจากเพื่อนสาวรุ่นน้องที่ส่งมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน

พีทแฟนหนุ่มเซอร์ไพรส์วันครบรอบหนึ่งปีที่คบกันด้วยการพาซาร่าไปดินเนอร์ไกลโข แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับในคืนนี้ ซาร่าส่งข้อความขอโทษมายาวเหยียด

เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ แม่สาวน้อยคลั่งรักของฉัน

แมกโนเลียระบายลมหายใจยาว ค่ำวันหยุดที่ผ่อนคลายของหล่อนหมดลงแล้ว หญิงสาวเริ่มเก็บข้าวของมากมายกลับไปขึ้นรถ ขณะที่กำลังจะสตาร์ตรถเพื่อขับออกไปหล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกระชอนตักปูไว้ที่สะพานนั่น แมกโนเลียเดินกลับไปที่สะพานไม้อีกครั้ง ขณะที่กำลังจะเดินไปถึงจุดที่ลืมกระชอนไว้ รถกระบะคันใหญ่คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดเคียงข้างรถของหล่อน  แมกโนเลียมองรถสมบุกสมบันคันนั้นด้วยความไม่สบายใจ เสียงพูดคุยกระโชกโฮกฮากดังมาจากชายหนุ่มใหญ่ร่างสันทัดสองคนที่เปิดประตูลงมา คนหนึ่งเดินคาบบุหรี่ตรงมาที่สะพานไม้ อีกคนเดินไปเอาของที่หลังรถ ชายคนแรกมองเห็นหล่อนเข้าพอดี

“บิล! เฮ้ บิล เราโชคดีเข้าแล้วละ”

“โชคดีห่าอะไร...อะ...อ้อ เข้าใจละ” คนถูกเรียกร้องตอบมาเสียงก้องท้องน้ำ นกทะเลที่ทำท่าจะโผผลุงลงมาเอาปลา ถลาร่อนห่างออกไป แมกโนเลียกำกระชอนในมือแน่น สาวเท้าเดินต่อ ชายที่กำลังสูบบุหรี่ ก้าวกินพื้นที่บนสะพานเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนบีบให้แมกโนเลียถอยหลังกลายๆ ไฟจากหัวเสาสะพานทำให้เกิดเงาคุกคามจากร่างบึกบึนของเขาทาบทับบนตัวหล่อน

“อากาศดีนะครับวันนี้”

“ค่ะ ขอตัวนะคะ”

“อย่าเพิ่งกลับเลยน่า อากาศดีแบบนี้อยู่ตกปลากับพวกเราสองคนก่อนสิ” ชายคนที่ยกลังเบียร์ตามลงมายิ้มกริ่ม

“ไม่ละค่ะ เพื่อนฉันรออยู่” หล่อนกลั้นใจตอบ เบี่ยงกายพยายามเดินสวนพวกเขา แต่ชายคนแรกกลับก้าวเข้ามาขวาง

“เพื่อน? เพื่อนที่ไหนเหรอ เห็นอยู่ตรงนี้คนเดียว รับมาเถอะน่า เหงาใช่ไหมล่ะคนสวย เดี๋ยวพวกเราอยู่เป็นเพื่อนร่วมสนุกกันไง ดีไหม”

“หลบไปค่ะ ฉันจะกลับแล้ว”

“อย่าทำเป็นหยิ่งน่า ที่แท้มารอใครไม่รู้ เขาไม่มาก็ไม่เป็นไร พวกเราจะเป็นเพื่อนเธอเองคนสวย”

“ถอยไปนะ!”

บรื้น! บรื้น!

“เรือใครวะ หรูขนาดนี้กลับมาเทียบท่าแถวนี้ได้”

แมกโนเลียหันไปมองตามเสียงนั่น เรือสีขาวลำนั้นดูปราดเปรียวหากหรูหราอย่างที่ชายคนนั้นพูด เรือเข้ามาเทียบที่ท่าเรือเก่า ห่างออกไปราวร้อยเมตรได้ คนบนเรือกำลังเอาเรือเข้าจอดโดยไม่สนใจเหตุการณ์บนสะพานสักนิดเดียว แมกโนเลียฉวยโอกาสที่อันธพาลทั้งสองหันเหความสนใจไปยังบุคคลอื่น เบี่ยงกายสาวเท้าไวๆ ออกไปจนพ้นชายคนแรก แต่ก็ยังช้ากว่ามือหยาบกร้านของพวกมันอีกคน

“จะไปไหน! มานี่”

“กรี้ด! ปล่อยนะ!” เสียงหวีดแหลมของหล่อนดังก้องท้องน้ำ

“เฮ้ย เบาหน่อย ไอ้นั่นมันได้ยินเข้าแล้ว” ชายคนแรกกระชากเสียงบอกเมื่อเห็นคนที่เอาเรือเข้าจอดชะงักและหันมามอง

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ ชะ...อุบ”

“เงียบนะ นังเด็กบ้า! เดี๋ยวจับโยนลงทะเลเสียเลย อย่าดิ้นสิวะ”มือสกปรกกดปิดปากหล่อนไว้

“นั่น มีรถมารับมันไปแล้ว มันไปแล้ว อย่าดิ้นน่า นี่! จะเอาอะไรกับคนสมัยนี้ ยิ่งรวยๆ แบบนั้นยิ่งไม่อยากยุ่งกับเรื่องสนุกของคนอื่นหรอกคนสวย” มันกวาดสายตาหิวกระหายไปทั่วร่างอวบอิ่ม

“เดี๋ยวพวกเราจะทำให้เธอสนุกจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว เหงาไม่ใช่เหรอ สวยๆ มานั่งตกปลาที่สะพานเปลี่ยวคนเดียว อยากมากสินะ” ลมหายใจเหม็นเน่าเคล้ากลิ่นเหล้าของมันกระซิบอยู่ข้างหู ถ้อยคำหยาบช้าพรั่งพรูออกมาราวกับมันอัดอั้นมาจากไหนถึงต้องมาลงกับใครสักคนที่โชคร้าย แมกโนเลียสะบัดศอกอีกครั้ง เตะเข้าที่หน้าแข้งของมัน!

“โอ๊ะ! อีเด็กบ้า แจ็คจับมันไว้”

“จะหนีไปไหน” ไอ้เวรนั่นมันบ้าพอที่จะโถมเข้าใส่หล่อนทั้งตัวโดยไม่กลัวตกไปในน้ำ แต่สิ่งที่มันตะครุบได้เป็นกระชอนที่หลุดมือหล่อน ร่างบางถูกกระแทกหล่นตูมลงไปในผืนน้ำลึกดำมืดเรียบร้อยแล้ว

“ฉิบหาย มึงบ้าหรือเปล่าวะไอ้แจ็ค!”

ปัง! ปัง! ปัง!

“อ๊าก! สัตว์ ใครยิงขากูแม่ง”

“ฉิบหาย เผ่นแล้วโว้ย”

“บิล บิล รอกูด้วย โอ๊ย”

ปังๆ!

“แม่ง รถกู ไอ้ห่า” ไอ้คนที่โดนยิงลากขาของมันกะเผลกตามกลับไปที่รถที่ถูกยิงไปสองนัด เพื่อนของมันกำลังจะออกรถไปพอดีกับที่มันคว้าประตูได้ก่อน

“มึงจะทิ้งกูเรอะ ไอ้สารเลว”

“ปืนนะเว้ย ไอ้คนจากเรือนั่นมันบ้าไปแล้ว ไหนมึงบอกมันไม่สนเรื่องของเรายังไงวะ”

“ไม่รู้ แต่ตอนนี้มันเอามึงแน่ ไป! รีบไป”

ปังๆ

“ฉิบหาย รถกู!”

“แม่งเป็นเหี้ยอะไรกับอีนั่นวะ โหดฉิบหาย”

“มึงรีบไป ขากู แม่ง”

ในขณะที่พวกมันกระเสือกกระสนหนีตายกันออกไป ร่างสูงก็วิ่งทะยานมาที่สะพานไม้ ก่อนจะพุ่งลงไปในผืนน้ำดำสนิทที่กระเพื่อมตามแรงดิ้นเอาชีวิตรอดของคนว่ายน้ำไม่เป็น มือซีดขาวของหล่อนตะกายไขว่คว้าด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย เขาเห็นและคว้ามันเอาไว้ก่อนจะรวบรั้งดึงร่างหล่อนขึ้นมาพ้นน้ำ

“แมกโนเลีย” ร่างเล็กในอ้อมอกกว้างอ่อนปวกเปียกไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้เพียงเล็กน้อย

“ฉันเอง”

“คุณ...ช่วยด้วย” นั่นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะหมดสติไป

“แมกโนเลีย เด็กบ้าเอ๊ย โตจนป่านนี้แล้วยังว่ายน้ำไม่เป็นอีก”

 

** ตอนสุดท้ายที่ลงให้ได้แล้ว ติดตามต่อได้ในเล่ม **

 

**เปิดจองเล่ม ตั้งแต่วันนี้ - 18 มีนาคม 2567
พร้อมของแถมที่คั่น + โปสการ์ดลายปก
 

รายละเอียดสั่งจอง (คลิก)

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com